‘ก้าวไกล’ ไม่พ้นบ่วง ‘ยุบ’ แม้ยก 4 คำร้อง ยังคาอีก 6 เรื่อง ‘สดศรี’ เชื่อ ‘พิธา’ เหนื่อย ม.151 แรงวืดชิงนายกฯ
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง มีความเห็นสั่งยุติเรื่องกรณีมีการยื่นร้องขอให้ กกต.พิจารณาเสนอเรื่องความพร้อมเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ตามมาตรา 92 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 เนื่องจากเห็นว่าไม่มีมูล โดยทั้ง 4 คำร้องประกอบด้วย กรณีกล่าวหา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรค ก.ก.และกรรมการบริหารพรรคขณะนั้นปราศรัยหาเสียงที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 กล่าวร้ายโครงการพระราชดำริ เข้าข่ายฝ่าฝืนข้อ 17 ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.2561, กรณีร้องว่าพรรค ก.ก.มีนโยบายที่จะยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยอ้างการให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ซึ่งเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดีย, กรณี นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรค ก.ก. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงจุดยืนของตนเองและจุดยืนของพรรค ก.ก.เรื่องมาตรา 112
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รวมถึงกรณีกล่าวหาว่าพรรค ก.ก.ยินยอมให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช เป็นผู้นำในการหาเสียงเลือกตั้งและเป็นตัวแทนดีเบตกับพรรคการเมืองอื่นแทน เป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคลักษณะที่ทำให้พรรคขาดอิสระ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีมูลจึงแจ้งผู้ร้องทราบแล้ว ทั้งนี้ พรรค ก.ก.ถูกยื่นร้อง 16 เรื่อง สั่งยุติ 10 เรื่อง และอยู่ระหว่างพิจารณาอีก 6 เรื่อง
รายงานข่าวจากสำนักงาน กกต.แจ้งว่า สำหรับความคืบหน้าการพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. มีความเป็นไปได้ว่าทางสำนักงาน กกต.เตรียมเสนอเรื่องให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาได้ประมาณช่วงวันอังคารที่ 13 มิถุนายนนี้ ภายหลังผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.กกต.จว.) ส่งรายงานความเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ทั้งนี้ ตามแผนการทำงานของ กกต.ต้องการที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จก่อนที่นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี กกต. จะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 28 มิถุนายนนี้ เนื่องจากมีอายุครบ 70 ปี รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งครบทั้ง 500 คน ในกรอบเวลา 60 วันที่กฎหมายกำหนด กกต.จึงประกาศผลการเลือกตั้งทั้งหมดไปก่อนแล้วค่อยมาสอยในภายหลัง
ขณะที่ นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. ให้สัมภาษณ์กรณีที่ กกต.มีมติรับพิจารณานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค ก.ก. ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 151 ฐานรู้ว่าไม่มีสิทธิสมัคร ส.ส.แต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง ว่า กกต.จะดำเนินการตั้งเรื่องอะไรก็ได้แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ปรากฏว่านายพิธายอมรับว่ามีหุ้นของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ได้รับมาเป็นมรดกและยังไม่ได้สละ แสดงว่านายพิธารู้แล้วว่ามีหุ้น ซึ่งมาตรา 151 ระบุว่ารู้อยู่แล้วในที่นี้หมายถึงรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองมีหุ้นสื่อจริง และการมีหุ้นสื่อนายพิธาก็ต้องรู้ ไม่มีใครไม่รู้กฎหมาย จะปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้
“มาตรานี้เข้าหมดทุกอย่าง โทษแรงมาก จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท-2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น 20 ปี ตัวอย่างมีมาหมดแล้วแต่ไม่ได้ใช้กับมาตรา 151 ใช้เรื่องอื่น ซึ่งไม่แรงเท่า ทั้งนี้ สมมุติศาลวินิจฉัยว่านายพิธาผิดมาตรา 151 ก็ไม่สามารถเสนอตัวเป็นว่าที่นายกฯ ได้เพราะขาดคุณสมบัติ และถ้าบุคคลใดถูกศาลพิพากษาจำคุกถึงจะรอการลงโทษก็ขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรีหรือนายกฯ”